นายโชติ chaiyawut

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การแก้ไขเมื่อ ถูกจี้ปาดคอจากด้านหลังเมื่อเป็นตัวประกัน


การป้องกันตัวมือเปล่า เมื่อถูกจี้ปาดคอจากด้านหลัง


จากข่าวที่พบเห็นได้อยู่บ่อยๆ กับกรณี คนร้าย เสพยาเสพติด (เมทแอมแฟตตามีน) แล้วเกิดคลุ้มคลั่งจับเด็กหรือสตรีเป็นตัวประกัน ในกรณีเช่นนี้หากเป็นท่านจะทำเช่นไร ทางที่ดีควร ให้ในสิ่งที่เขาต้องการ และชลอความตึงเครียดของคนร้ายมิให้ลงมือกับท่านเร็วนัก เพื่อรอความช่วยเหลือ จากเจ้าหน้าที่หรือบุคคลข้างเคียง แต่หากไม่มีบุคคลเช่นว่านั้นหละ


วิธีการง่ายๆ ก็คือ ใช้การ เกาะที่ข้อมือที่เขาถือมีด ระวังคมมีดด้วยนะ แล้วดึงลงมาที่หน้าอกของเราแล้วยึดกด ให้มือเขาติดกับอกเราอย่าให้เขาขยับมีดได้ ย่อขาเราลงทิ้งน้ำหนักตัวของเราทั้งหมดลง ให้เขาใช้แขนทีมีอาวุธมีดนั้น รั้งน้ำหนักตัวเราไว้ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถทำให้มีดของเขาห่างออกจากลำคอของเราได้สักระยะหนึ่งซึ่งนั่นก็เป็นการเพียงพอที่จะ เป็นโอกาสให้ แก่เจ้าหน้าที่ในการเข้าชาร์ต เพื่อช่วยเหลือ เพราะทางเจ้าหน้าที่เขาก็รอคอยโอกาสที่อาวุธห่างจากคอของเหยื่อเช่นกัน


และหากผู้เสียหาย ได้มีการฝึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการอ่านแรงฟังแรง เกาะเกี่ยวติดพัน ก็จะสามารถพลิกเหลี่ยมบิดไหล่ไปทางด้านหลังใช้มีดที่เขาจี้คอเรา วกกลับเข้าแทงตัวคนร้ายได้ไม่ยากนัก ในกรณีที่เห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือ ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเองได้



แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนสักนิด เพื่อหาจังหวะจริง ในการแก้ไข ควรจะมีเพื่อนคู่ฝึก จนมั่นใจได้ว่า เมื่อกระตุกมือเขาลงมาแล้ว เขาไม่สามารถจะเชือดคอเราได้จริง ด้วยการจำลองเสมือนจริง จึงจะถือว่า ผ่านการฝึกนี้ และมีความมั่นใจที่จะใช้ในภาวะฉุกเฉิน


วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความฝันที่เป็นจริงของข้าพเจ้า

20 ส.ค. 2551, 10:29 น.

ราวช่วง เดือน พฤษภาคม ได้ทราบข่าวการรับสมัคร นักสู้ เข้าร่วมการแข่งขัน kof (mma) ครั้งแรก ในประเทศไทย ผมได้เห็นแล้ว ก็ดีใจมากรีบสมัครเข้าร่วมทันที เพราะ เคยฝึกมวยไชยาอยู่ 2 ปี ไม่เคยได้ต่อยกับใครจริงๆ เลยสักครั้ง แม้ปัจจุบัน จะมารับราชการเป็นนิติกรระดับ 4 ห่างหายการฝึกไปกว่า 3 ปี แล้วก็ตาม เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำตามความฝันสักครั้ง แม้ร่างกายก็ไม่สมบูรณ์จากการถูกรถชนเมื่อ 2 ปีก่อน ขาไม่ค่อยดี แถมเป็นหวัด ซึมๆ อยู่ เป็นเดือนก่อนแข่ง แถมยังต้องลดน้ำหนักอีก 4 กิโลกว่า แต่ช่างมันเถอะ ถ้าไม่สู้ตอนนี้ ก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

28 /6/51

แข่งรอบแรกรุ่น -55 กิโล กับ blink คาราเต้ฟูลคอนแท็คสายดำ จาก ไทยญี่ปุ่นดินแดง
แมตนี้เป็นแมตแรกในชีวิตบนสังเวียนผืนผ้าใบ ที่เวที มวยอัศวินดำ รามอินทรา ติ่นสนามมากๆ ขนาดเดินเข้ามุมผิด และจำมุมของตัวเองไม่ได้ว่า มุมน้ำเงิน หรือมุมแดง คู่ต่อสู้ คือ คุณ blink แข็งแรง ดุดันมาก มีอาวุธ คือ หมัด และ เตะได้รวดเร็ว แถมอึดอีกต่างหาก ได้ความตอนหลังว่า เขาวิ่งวันละ 20 รอบ แหนะ แต่ก็อาศัย ไม้เด็ด มุดบาดาล ลอดแข้ง ตามด้วยเหวี่ยงหมัด ตาม จึงเอาตัวรอด ชนะคะแนนมาได้

16/8/51
แข่งรอบรองชนะเลิศ รุ่น -55 กิโล กับ อาจารย์ วัชระ รังษีสุริยันต์ ผู้ฝึกสอนยูโด-มวยปล้ำ จาก นครปฐม ซึ่งเป็นเต็งแชมป์รุ่นนี้ ต่อยครั้งที่ 2 ในชีวิต ต้องมาเจอ กับกระดูกชิ้นใหญ่ซะแล้ว คราวนี้ ผมได้ครูแปรงช่วยสอน จับหัก ให้ 3 วัน ก็ได้ฝักราวๆ 3-4 ชั่วโมงครับก่อนแข่งเอาซะหน่อย และเคาะสนิมที่ห่างการฝึกไปนาน ทำให้เอาตัวรอดจากการถูกจับหักของ อ.วัชระ ไปได้ แต่ก็ไม่วายแพ้คะแนนจนได้ ได้คว้าเหรียญทองแดง มาคล้องคอแทน แล้วอ.วัชระ ก็ได้แชมป์ไปครองตามคาด เสียดาย ผม เกือบ จะได้เข็มขัดอยู่แล้วเชียว นิดเดียวแท้ๆ ไว้คราวหน้า ถ้ามาได้ ผมจะมาแข่งอีกครับ

และ แมตที่ประทับใจที่สุด ก็ แมตที่แข่งกับ อ.วัชระ นี่แหละครับ เหนื่อย หอบ ลุ้น มันส์ มากๆ ครับ

แต่ลองของแล้ว มวยไชยาเราใช้ได้แน่นอนครับ แต่อยู่ที่คนใช้ด้วยว่าจะ ทำได้ตามคำครูที่สอนให้ได้แค่ไหน งานนี้ ดีที่ยังไม่พลาดจังๆ แต่ล้า และเจ็บกล้ามเนื้อจากการซ้อมล่อเป้า ครั้งแรกในชีวิต กับพี่พงษ์ วันเดียว เอง จับหักกับเจ้าเอิร์ธ พี่โอ๋ ซะระบมอยู่เหมือนกัน

งานนี้จริงๆแล้วผมก็มีความกดดันมากอยู่เหมือนกันเพราะ ตอนมารอบแรก ก็คิดว่าจะได้ทำตามความฝันสักครั้ง คิดว่าคงไม่เป็นไร คงไม่มีใครรุ้หรอกน่า เลยแอบลงแข่งเองโดยไม่ได้ขออนุญาติจากครูแปรง ก่อน แถมไม่ได้ซ้อมตามที่ครูเเปรงท่านเคยให้ ตารางซ้อมไว้ให้ด้วย เนื่องจากติดขัดเรื่องเวลาทำงานหลวงอยู่ พอเจอหน้าครู ก่อนแข่ง ผม ก็ ทำหน้าไม่ถูกอยู่เหมือนกันครับ จุดใต้ตำตออย่างจัง งานนั้ผู้จัด เขาเชิญครูแปรง ให้มาสาธิต อาวุธไทยในงานด้วย แถม พี่โอ๋ (สมิงวายุ) ยังลงแข่งอีก ก็เลย งานเข้าครับพี่น้อง

ดีที่รอบรองชนะเลิศ แพ้แบบสูสี แถมคู่แข่งยังเป็นระดับแชป์อีกด้วย เลย รอดตัวไป ไม่งั้น โดนเชือด แหง่มๆ

การเริ่มฝึก มวยไทยของข้าพเจ้า

การริเริ่มฝึกมวยไทยของผม

20 ส.ค. 2551, 14:18 น. อนึ่งด้วยความเป็นลูกไทย คนหนึ่ง ผมชื่นชอบ วิชา มวยไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องด้วยพ่อ อาจารย์ วิศิษฐ์ ยอดสมัย ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองส้ม ท่านเคยเป็นนักมวยเก่า (พรศักดิ์ น้อย ศ.ท่ายาง) ต่อยมวยส่งตัวเองจนเรียนจบวิทยาลัยครูเพชรบุรี ทั้งยังได้สร้างสม สอนวิธี ชกต่อย เตะ กระสอบ และ เชิงการชกต่อยเบื้องต้นให้ แต่ด้วย อะไรหลายๆอย่างจึงทำให้ไม่ได้ฝึกอย่างจริงๆจังนัก ไปเน้นการแข่งขัน กรีฑา ระยะสั้น ให้กับโรงเรียน ศรียาภัย เสียมากกว่า เมื่อ ขึ้นกรุงเทพ เรียน นิติศาสตร์ จนจบที่ราม ในขณะไปเรียนเน เมื่อ ราวๆต้นปี 47 ได้เข้าไปอ่านหนังสือ สยามคอมแบต ที่โลตัส อ่อนนุช เห็นเขาลงเกี่ยวกับ วิชา มวยไทยไชยา จึงเกิดสนใจไปเรียน ที่สยามยุทธ์ ยิม จึงนับเป็นครั้งแรกที่ได้พบครูแปรง และ พี่พงษ์ หลังจากนั้น งบหมด ประกอบกับ พี่พงษ์บอกว่า เป็นเด็กรามก็ไปเรียนที่ ad1 ได้ ผมก็ไปเรียน ที่ราม ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า เป็นรุ่นสุดท้ายที่ พี่พงษ์ สอนให้ที่ราม

ฝึกที่รามอยู่ราว 6 เดือน ก็ได้โอกาสเข้าไปทำป้ายมูลนิธิที่บ้านครูแปรง ทำป้ายอยู่ 1 เดือน ก็เสร้จ ทีนี้ก็อาศัยความคุ้นเคยว่าเข้าไปให้ครูเห็นหน้าบ่อย ขอเข้าไปฝึกที่บ้านครู ครูท่านอนุญาติ จึงได้เข้าไปฝึกที่บ้านครู เรื่อยมา จนมาสอบบรรจุติดเป็นนิติกร ได้เริ่มทำงาน เมื่อ 1 มีนาคม 2549 รวมเวลาที่ได้ฝึกกับครูแปรง ร่วม 2 ปี แต่ก็ไม่ได้ฝึกทุกวัน ยังคงมีวันลากลับบ้าน วันหยุดต่างๆ อีกมากมาย ก็คงตก ได้ว่า ฝึกอยู่ วันละ 2-3 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3-4 วัน

ครูแปรงเคยบอกว่า ถ้าเข้ามาฝึกแบบที่ผมทำอยู่ ก็คงฝึกสัก 4-5 ปี ก็คงจะพอเป็นรูปเป็นร่างของมวยไชยาเดิมๆได้ ถ้าได้แล้ว จะได้นำกลับคืนถิ่น ท่าตะเภา อันเป็นตำบลที่ผมเกิดซิ่งเป็นที่เดียวกับครูเขตร ศรียาภัย ครูอินทร์ ศักดิ์เดช ปรมาจารย์ มวยไทย ท่านก็เกิดที่ตำบลหนองช้างตาย หรือตำบลท่าตะเภานีแหละครับ เพราะที่ชุมพร หามวยไชยาได้ยากเต็มทีแล้ว

ผมก็จะพยายามฝึกให้มากที่สุด แต่มาได้เต็มที่แค่ 2 ปี ยังได้ไม่ถึงคริ่งของหลักสูตรเลยครับ หลักสูตรสำคัญ อย่าง ทุ่ม ทับ จับ หัก ปีน ป่าย เหยียบ ยัน ประกบ ประกับ จับ รั้ง เข้าข้างหลัง ดัดก้านคอ ไม้เด็ดๆซึ่งตัวผมเองก็ยังไม่ได้เรียนเลยสักกะเเอะ ถ้ามีเวลาจะมาฝึกเพิ่มจากครูแปรงให้ได้ อย่างน้อยๆ ก็ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

และผมยังถือคำครูท่านที่ว่า พูดได้ทำได้ จึงจะเป็นครูเขาลูกเอ๋ย คือถ้าผมทำได้ไม่ดี ทำให้ใช้การยังไม่ได้ ผมก็คงจะไม่คิดแนะนำใครแน่ๆครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด เพื่อ ที่จะได้ทำได้ แล้วไปสอนลูกชาย ผม เจ้า นโม หรือ ลูกหลาน คนชุมพร ต่อไป

ผมเรียนชั้น ม.1 – ม.6 ที่ โรงเรียนศรียาภัย ซึ่ง ย่าชื่น ศรียาภัย พี่สาวของครูเขตร เป็นผู้ก่อตั้ง สถานที่ที่ครูเขตรกล่าวถึงในหนังสือของท่าน ผมได้ผ่านไปมาอยู๋แทบทุกวัน ความรักสถาบัน ถิ่นฐานบ้านเกิด ยิ่งทำให้ ขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีที่นึกถึง มาเป็นอีกแรงใจที่ผมจะอนุรักษ์ วิชามวยไทยสายใชยาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังของผมจะทำได้

เป้าหมายในการฝึกมวยไทยไชยาของข้าพเจ้า

เป้าหมายในการฝึกมวยไทยไชยาของข้าพเจ้า

๑ เพื่อเป็นการอนุรักษ์วิชาของไทย ให้คงอยู่คู่กับคนไทย ชาติไทย

๒ เพื่อเป็นการสร้างเสริมสมรรถภาพของร่างกาย ให้แข็งแรง เป็นการออกกำลังกายที่ดี

๓ เพื่อใช้ป้องกันตัวในยามคับขัน หรือ ภาวะฉุกเฉิน

การฝึกมวยไทยไชยานั้น ผู้ฝึกตั้งเป้าหมาย ไว้ตามลำดับข้างต้น เนื่องจากข้าพเจ้า ได้ค้นหา ตามสืบมาเนิ่นนาน กว่าจะมาค้นพบวิชามวยไทยไชยานี้ เมื่อได้พบก็ทราบว่า มวยไทยไชยา เป็นมวยไทย สายหนึ่ง ที่มีมานานแล้ว แต่นับวันจะหาคนรู้จัก และใช้การได้มีน้อยมาก หากไม่ช่วยกันรักษาไว้ก็คงจะสูญหายไปตามกาลเวลา เช่น มวยไทยสายอื่นๆ ซึ่ง บางสายไม่อาจตามสืบพบถึง ตัวตนที่คงอยู่ได้ เมื่อเราตั้งใจที่จะรักษาอนุรักษ์ไว้ให้คนไทย รุ่นหลัง ก็มีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ ทำให้ดี ในระดับที่ กำลังกาย กำลังใจของข้าพเจ้าจะพาไปได้

เมื่อข้าพเจ้าได้ตั้งใจเพียรศึกษาในวิชาแขนงนี้ นอกจากจะได้รับการฝึกเพื่ออนุรักษ์สายวิชานี้ไว้ ยังมีผลพลอยได้จากการเรียน คือ ได้ออกกำลังกายในรูปแบบ ของมวยไทยไชยา ซึ่งเป็นการออกกำลังกาย โดยใช้น้ำหนัก ตัวของผู้ฝึก การหาจังหวะ การจัดระเบียบร่างกาย การทรงตัว และตลอดถึงการฝึกสติ ให้มีความจดจ่ออยู่กับท่าที่ฝึกนั้นด้วย

และเมื่อตั้งใจฝึกเพื่ออนุรักษ์ อย่างตั้งใจ โดยควบคู่ไปกับการออกกำลังกายในท่ามวย ไปสักระยะหนึ่ง เมื่อเกิดความชำนาญ ร่างกายจดจำท่วงท่า จนเกิดเป็นสัญชาติญาณ การเคลื่อนที่ของร่างกาย ก็จะเกิดความคล่องตัวขึ้นในระดับหนึ่ง จนสามารถ ใช้ป้องกันตัวได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น

นั่นก็คือ ถ้าตั้งใจฝึกอย่างจริงจัง จนเข้าใจหลักการของวิชา เข้าใจเคล็ดวิชาในระดับหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะใช้ป้องกันตัว ให้สมกับที่เป็นลูกไทยได้

ความแตกต่างของมวยไทยไชยากับมวยไทยในยุคปัจจุบัน

ความแตกต่างของมวยไชยากับมวยไทยในยุคปัจจุบัน ตอน ๑

๑. ที่เห็นได้เด่นชัด คือ การยืนจดมวย ในมวยไชยาจะ ใช้วิธีการยืนย่อขาลง เพื่อเตรียมพร้อมออกอาวุธ มือสองข้าง จดมวยไว้ในแนวกลางตัว โดยให้เหตุผลว่า เพื่อ ป้องกันจุดอันตรายที่เรียงรายอยู่ในแนวกลางตัว ตั้งแต่ จมูก ปาก คาง คอ หลุมหัวใจ (ลิ้นปี่) แต่ มวยไทยในปัจจุบันที่พบโดยมากจะยืนมวย สูงกว่าเล็กน้อย เพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ และ จดมวยกว้างกว่า เข้าใจว่าเพื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นที่ชัดเจน และ ป้องกันอาวุธหนัก เช่น การเตะ

๒. เมื่อออกอาวุธ โดยเฉพาะ การเตะ จะเห็นได้ชัดว่า ในสายมวยไชยานั้น เมื่อ เตะ แล้ว จะสบัดมือข้างที่เตะ ไปในทิศทางเดียวกันกับขาข้างที่เตะ เช่น เตะด้วยขาขวาของเราไปที่เป้าหมาย มือขวาก็จะสบัดไปตามทางขวาเช่นกัน แต่ ในมวยไทยปัจจุบัน จะใช้การสบัดแขนสวนกันกับขาข้างที่เตะ ซึ่งต่างก็ให้ผลลัพที่รุนแรงไม่แพ้กัน จะต่างก็แต่วิธีการเท่านั้น

มวยโบราณกับอาวุธไทยสัมพันธ์กันอย่างไร

ในการศึกแต่เดิมนั้น หากการรบประชิดตัวถึงตะลุมบอน หากอาวุธคู่กายหลุดมือไป เหล่าทหารก็จักต้องใช้ มือเปล่าเข้าต่อกรกับข้าศึก เพราะคงไม่มีข้าศึกใจดีให้โอกาสเราได้หาอาวุธใหม่เป็นแน่ จึงมีความจำเป็นอยู่เองที่ ลูกไทยผู้รักชาติ จักต้องร่ำเรียนทั้งวิชาการต่อสู้ภาคอาวุธ และ มือเปล่า ไว้เพื่อป้องกันผืนแผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่ง

เคยมีผู้รู้ให้ทัศนะไว้ว่า หากนักมวย ได้อาวุธจะใช้อย่างไร ก็เคยแต่ต่อย ไม่เคยตี หากนักดาบ ขาด ดาบ จะทำอย่างไร ก็เคยแต่ใช้ดาบ ไม่ถนัดต่อย จากที่ข้าพเจ้าศึกษามานั้นพบว่า มัลละ (นักมวย) ผู้เชี่ยวชาญในเชิงมวย ใช้กลมวยเข้าต่อตี แล แก้ทาง ปรปักษ์อย่างใด ก็ใช้กลนั้น กับอาวุธเช่นนั้น นักดาบเองก็เช่นกัน มีกลดาบอย่างไร ก็มาใช้เมื่อครามือเปล่าเช่นกัน เพียงแต่ต้องปรับการใช้ให้เหมาะสมกับอาวุธในมือ ทั้งอาวุธมือถือ แล กายวุธ

นั่นก็หมายความว่า หากผู้ใดเชี่ยวชาญในการใช้ศิลปะการต่อสู้แบบใดแบบหนึ่ง ก็จะสามารถ ปรับใช้กับอาวุธประเภทอื่นได้ด้วย เนื่องจากรู้หลักการ ของการใช้อาวุธนั้น การถ่ายแรง การควบคุมอาวุธในมือ

จากประสบการณ์อันน้อยนิดของผู้เขียนนั้น พบว่าเมื่อได้รับการฝึกวิชาภาคอาวุธมาในระดับหนึ่ง แล้วกลับมาฝึกภาคมือเปล่าอีกครั้ง โดยลองฝึกเหมือนดังว่าในมือมีอาวุธ (ใช้มือเปล่า) ก็จะพบว่ามีมุมมองใหม่ๆ ในการต่อสู้ขึ้น จึงตระหนักถึงความสำคัญของภาควิชาอาวุธไทย ทั้งพลอง ดาบสองมือ ดาบเดี่ยว ตลอดจนถึง มีดสั้น เพราะนอกจากจะสามารถใช้อาวุธได้อย่างหลากหลายแล้ว ยังมีเคล็ดลับ และกลวิธีที่ซ่อนไว้ในตัวอีกมากมาย ที่รอให้ผู้มีปัญญามาแก้เอาไป เช่น การฝึกควงพลอง เพื่อควบคุมอาวุธ ฟังแรงพลอง อ่อนตาม ใช้แรงส่วนน้อยผสานกับการบิดเหลี่ยมพลิกตัว เพื่อ ให้พลองสามารถ หมุนหรือเคลื่อนที่ได้โดยไม่หยุดชะงัก และเพิ่มกำลังในการตี หรือ แทงได้ หากไร้ซึ่งพลองแล้ว นำมาปรับใช้กับการต่อสู้มือเปล่าได้ การใช้ท่ากลับหน้าพลอง นำมาใช้ในการหักแขนปรปักษ์ที่เราจับได้ หรือ การใช้ท่าควงพลองพื้นฐาน ท่าอัยราฟาดงวง ก็สามารถใช้ในการหักแขนผู้ไม่หวังดีที่เข้ามาบีบคอเราได้

แม้จะเป็นในภาคอาวุธอื่น เช่น ดาบ การรับดาบแบบบัวคว่ำ หรือ บัวหงาย ก็ยังใช้แก้การต่อยหมัดตรง โดยปัดพร้อมพลิกตัวดึงคู่ต่อสู้ให้เสียหลัก แล้วหมุนตัวเล็กน้อยก็จะควบคุมตัวเขาได้โดยง่าย

เห็นได้ชัดว่าวิชามวยโบราณ และ อาวุธไทยโบราณ นั้นมีส่วนเกี่ยวข้อง ที่เกื้อหนุนกันเป็นอย่างมากการที่จะใช้กลมวยได้อย่างหลากหลายนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ในกลวิธีของวิชาอาวุธด้วย เนื่องด้วยกลมวยจำนวนไม่น้อยได้ถูกซ่อนไว้ในกลดาบ แลกลดาบเองก็ถูกซ่อนไว้ในวิชาอาวุธอื่นๆอีก

การฝึกมวยโบราณ MuayBoran training

การฝึกมวยโบราณ

เมื่อพูดถึงการฝึกมวยไทย หลายๆท่านคงนึกภาพถึงการฝึกซ้อมที่หนักหน่วง มีการปะทะกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นฟกช้ำ หรือ บาดเจ็บ ถึงเลือดตกยางออก ถือเป็นความจริงที่ปรากฏสู่สายตาชาวโลก แต่นั่นก็เป็นรูปแบบของการฝึกที่เข้มข้นเพื่อมุ่งให้ผลในการแข่งขัน เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตามการแข่งขันในกติกาสมัยใหม่

หากแต่การฝึกมวยไทยในอดีตนั้น มิได้มุ่งเพื่อที่จะเอาชนะ โดยยอม แลกอาวุธจนร่างกายทรุดโทรม หรือแข่งกันทางด้านกำลังแต่เพียงอย่างเดียว แต่มุ่งไปเพื่อป้องกันตัวให้ดีเสียก่อนแล้วจึงหาจังหวะตอบโต้ตามแบบฉบับของครูผู้สอน อันว่านักมวยนั้น คือ ผู้ฝึกการชกต่อยตามแต่ครูจะสอน ในการฝึกมวยโบราณสายไชยาที่ผู้เขียนได้ศึกษาและทดลองด้วยตนเองนั้น การฝึกจะมีลักษณะ เป็นการฝึกจาก เบาไปหาหนัก จากช้า ไป หาเร็ว

โดยเมื่อแรก จะจัดโครงสร้างการยืนมวย เพื่อให้มีความมั่นคง และเตรียมพร้อมที่จะป้องกัน หรือโจมตี แล้วจึงฝึกการป้องกันอาวุธ(หมัด ) ในชุดป้องปัดปิดเปิด ก่อน เมื่อสามารถป้องกันตัวได้ดีแล้วจึงเข้าสู่การฝึกการออกอาวุธต่อไป อันมี หมัด ตรง หมัดเหวี่ยงสั้น หมัดเหวี่ยงยาว หมัดกระทุ้ง หมัดทิ่ม หมัดกระแทก หมัดโขก เตะฝานบวบ เข่าโทน เข่าลา เข่าลอย ศอกทัดมาลา จูบศอก มวยผม เป็นต้น

โดยผู้ฝึกจะต้องเริ่มฝึกจากท่าพื้นฐานเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ และเสียรูปมวย ต้องฝึกรับอาวุธจากเบาๆ ช้า ๆ ไปจนกว่าจะชำนาญ และเพิ่มความเร็ว ความแรง จนสามารถรับ หมัด รับแข้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสามารถฝึกขั้นพื้นฐานได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วก็จะเข้าสู้ หลักสูตรขั้นสูง เช่น การปีนป่าย เหยียบยัน ทุ่ม ทับ จับ หัก ต่อไป

ซึ่งในการฝึกที่ผู้เขียนพบมานั้นไม่ปรากฎว่ามีผู้เรียนท่านใดต้องบาดเจ็บจากการฝึกเลย เพราะรูปแบบของการฝึกมิได้ ใช้กำลังเข้าปะทะตั้งแต่ต้น แต่ใช้ศิลปะ ในการป้องกัน ให้ผู้ฝึกได้รู้ถึงมุมของอาวุธที่เข้าโจมตี และวิธีป้องกันให้เกิดความเสียหายให้น้อยที่สุด หรือไม่เกิดความเสียหายเลย แต่ก็ต้องอาศัยการฝึกที่ถูกต้องและสม่ำเสมอจึงจะสามารถรับและป้องกันอาวุธได้อย่างคล่องแคล่ว